อย่างไรก็ตาม ภายในสโมสรต่างย้ำชัดว่า หากต้องการก้าวไปถึงการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกจริง ๆ ทีมจำเป็นต้องรักษาความถ่อมตนและไม่หลงระเริงกับความสำเร็จที่ผ่านมา

เอนโซ่ มาเรสก้า กุนซือใหญ่ ต้องเผชิญตารางแข่งอันแน่นขนัด หลังปรีซีซันถูกบีบให้เหลือเพียงเกมอุ่นเครื่องกับเลเวอร์คูเซ่นและเอซี มิลาน ซึ่งอาจส่งผลเมื่อเข้าสู่ช่วงโปรแกรมหนักทั้งแชมเปียนส์ลีกและเทศกาลคริสต์มาส นอกจากนี้ทีมยังเจอข่าวร้ายเมื่อ เลวี โคลวิลล์ ปราการหลังดาวรุ่งบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าพักยาว แต่เชลซียืนยันจะไม่ซื้อใครมาแทนแบบเร่งรีบ และเชื่อว่าภายในทีมมีตัวเลือกเพียงพอ ทั้ง เวสลีย์ โฟฟาน่า, เบอนัวต์ บาเดียชิล, โทซิน อดาราบิโอโย รวมถึงดาวรุ่งอย่าง จอช อาเชมพง และ อารอน อันเซลมิโน

ขณะเดียวกัน เชลซียังคงเสริมทัพได้อย่างน่าสนใจในแดนหน้า ไม่ว่าจะเป็น ชูเอา เปโดร, เลียม เดแล็ป รวมถึง เจมี กิทเทนส์ และดาวรุ่งพรสวรรค์สูงอย่าง เอสเตวาโอ วิลเลียน ที่โชว์ฟอร์มเด่นในสโมสรโลก โดยมี พาล์มเมอร์ เป็นตัวชูโรงในแนวรุก แต่สโมสรย้ำว่านี่คือผลงานของทีมเวิร์ก ไม่ใช่เพียงนักเตะคนใดคนหนึ่ง

โครงสร้างการทำงานด้านการซื้อขายก็ชัดเจนขึ้น ทีมงานสเก๊าท์และฝ่ายบริหารได้รับการต่อสัญญา แม้การซื้อขายนักเตะของเชลซีจะถูกวิจารณ์ว่าหนักไปทางเชิงธุรกิจ แต่โมเดลใหม่ที่มุ่งสัญญาแบบมีแรงจูงใจสูงทำให้การปล่อยนักเตะที่ไม่อยู่ในแผนง่ายขึ้น เช่น นอนี มาดูเอเก้ ที่ถูกขายให้ อาร์เซนอล หรือ ชูเอา เฟลิกซ์ ที่ย้ายไปซาอุฯ

เป้าหมายเสริมทัพยังคงอยู่ที่แนวรุก โดยมีข่าวโยงกับ อเลฮานโดร การ์นาโช ของแมนฯ ยูไนเต็ด และ ซาบี ซิมอนส์ ของไลป์ซิก แต่สถานการณ์การเงินและกฎ FFP อาจบังคับให้ต้องขายผู้เล่นบางราย เช่น คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู, ราฮีม สเตอร์ลิง หรือ นิโกลัส แจ็กสัน

แม้เพิ่งผ่านมาเพียงสองปีหลังจากทีมจบอันดับ 12 ในลีก แต่ตอนนี้การกลับมาเป็นหนึ่งในทีมลุ้นแชมป์ดูไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง เชลซีมีทั้งขุมกำลังที่ลึก, ระบบการเล่นที่ยืดหยุ่น และบรรยากาศภายในทีมที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตาม ภายในสโมสรรู้ดีว่า การรักษาความถ่อมตนและความนิ่งจะเป็นกุญแจสำคัญ หากหวังยืนระยะลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้จริงในฤดูกาลนี้.